ค่านิยมการบริโภคของคนไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่
มีวิถีชีวิตการกินอาหารประเภทอาหาร จานด่วน ( fast food ) เลียนแบบการกินแบบตะวันตก
ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการที่จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ไขมันในเส้นเลือด โรคเก๊า
โรคอ้วน ฯลฯ อาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีพของมนุษย์
ทุกสังคมจึงดำเนินชีวิตไปเพื่อ “ การทำมาหากิน ” ด้วยรูปแบบแตกต่างกัน ในปัจจุบันสามารถจำแนกอาหารไทยได้เป็น ๒ รูปแบบคือ
-
อาหารแบบราชสำนัก
ด้วยธรรมเนียมราชสำนักฝ่ายในมักถือเป็นต้นแบบประเพณี การดำรงชีวิตที่ดีของคนไทย
อาหารในราชสำนักจึงเป็นที่นิยมบริโภคตามแบบตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
-
อาหารพื้นเมือง คือ อาหารประจำภูมิภาคต่าง ๆ
ที่แตกต่างกันตามลักษณะพืชพันธุ์ และสภาพภูมิประเทศ
ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย
เมื่อหิวก็นึกถึงข้าวเรียกอาหารแต่ละมื้อว่า “ ข้าวเช้า ” “
ข้าวกลางวัน ” และข้าวเย็น
เมื่อพบกันก็ทักทายกันว่า “ กินข้าวหรือยัง ” การทำมาหากินก็มีอาชีพปลูกข้าวเป็นหลักมาแต่อดีต
วงจรชีวิตและประเพณีวัฒนธรรมจึงผูกพันอยู่กับข้าวตลอดปี มีประเพณีทำบุญ
บูชาเทพยาดา บรรพบุรุษ เพื่อผลแห่งความอุดมสมบูรณ์ของธัญญาหาร
ข้าวไทยเป็นข้าวเอเซียสายพันธุ์
oriza sative จากการศึกษาโบราณคดีในประเทศไทยได้พบเมล็ดข้าวที่ปลูกโดยมนุษย์สำหรับกินเป็นอาหาร
มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อราว ๕,๐๐๐ปีที่ผ่านมา
จากการศึกษาลักษณะเมล็ดข้าวจากแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย
พบว่าคนในสมัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ยุคต้นปลูกข้าวเหนียวชนิดเมล็ดใหญ่
( javanica ) และ ชนิดเมล็ดป้อม ( japonica ) เป็นอาหาร ในสมัยทวารวดี (พ.ศ.๑๒๐๐ – ๑๖๐๐)
จึงเริ่มนิยมกินข้าวชนิดเมล็ดยาวรี ( indica ) จากแถบอ่าวเบงกอล
ที่นำเข้ามาโดยพ่อค้าชาวอินเดีย นักโบราณคดีเชื่อว่าคนระดับเจ้าผู้ครองนครเป็นผู้รับวัฒนธรรมการกินข้าวชนิดนี้เข้ามาก่อนที่จะนิยมกันในหมู่คนทั่วไป
จึงเรียกชื่อข้าวประเภทใหม่นี้ว่า “ ข้าวเจ้า ” หรือข้าวของเจ้านาย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
คนไทยนิยมกินข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียว มีการปลูกมากจนสามารถส่งขายเป็นสินค้าออกที่สำคัญจวบจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีคุณสมบัติดีที่สุดในปัจจุบัน คือ ข้าวหอมมะลิ
ซึ่งมีลักษณะเมล็ดขาวใสเหมือนดอกมะลิ มีกลิ่นหอมเหมือนใบเตย จึงเรียกว่า “
ข้าวหอมขาวเหมือนมะลิ ” ภายหลังเรียกสั้นลงเป็น
“ ข้าวหอมมะลิ ” ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดโลกว่าเป็นข้าวหอมอร่อยที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
คนไทยกินข้าวกับ
“ กับข้าว ” ที่ปรุงจากพืชผัก
เนื้อสัตว์นานาชนิดจากธรรมชาติรอบตัว ด้วยวิธีการที่บรรพบุรุษได้ทดลอง คัดเลือก
และผสมผสานไว้อย่างเหมาะสม สืบทอดกันมานานนับพันปี ซึ่งเรียกกันติดปากว่า “
ต้ม ยำ ตำ แกง ” ที่มีเนื้อหาแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค
ทำให้อาหารไทยมีความ หลากหลาย สัมพันธ์กับทรัพยากร สภาพภูมิประเทศ
และหลักโภชนาการของคนไทย ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยที่อาจจำแนกได้ดังนี้
-
ภูมิปัญญาแห่งผลสำเร็จในการทำความเข้าใจวัฏจักรธรรมชาติ
จึงสร้างสรรค์อาหารไทย ให้ มีส่วนประกอบที่สัมพันธ์กับลักษณะภูมิประเทศ
ทรัพยากรธรรมชาติ มีลักษณะที่ลื่นไหล สามารถสับเปลี่ยนผัก
เนื้อสัตว์มาปรุงได้ตามฤดูกาลและสภาพพันธุ์พืชในพื้นถิ่น
ซึ่งมีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทุกส่วนทั้งใบ ดอก ราก
หัว ผล
-
ภูมิปัญญาแห่งผลสำเร็จในการเรียนรู้คุณค่าพืชพรรณ เนื้อสัตว์
จึงสร้างสรรค์อาหารไทย ให้มีคุณค่าสอดคล้องกับความต้องการร่างกายคนไทย
เป็นประโยชน์ในทางบำรุง ป้องกันโรค
-
ภูมิปัญญาแห่งผลสำเร็จในการแปรรูปอาหาร
เพื่อถนอมรักษาให้เก็บไว้บริโภคยาวนาน ก่อให้เกิดอาหารหลายชนิด
อาหารไทยเป็นวัฒนธรรมแห่งการผสมผสาน
บนพื้นฐานของการรับเพื่อทดลองเมื่อเห็นว่าดีจึงประยุกต์เข้ากับรูปแบบอาหารแบบดั้งเดิม
กลิ่นไออาหารต่างชาติทั้งมอญ ลาว จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และชาติแถบตะวันตก
จึงกรุ่นอยู่ในอาหารไทยที่ยังคงรูปแบบเป็นตัวของตัวเอง แต่คนไทยในยุคปัจจุบัน ได้เปลี่ยนวิถีแห่งการผสมผสานนี้เป็นการรับการเอามาปฏิบัติตามเต็มรูปแบบด้วยความเข้าใจว่าทันสมัย
สะดวก รวดเร็วกว่าอาหารไทย อาหาร Junk Food หรืออาหารขยะแบบตะวันตก
จึงเข้ามาแพร่หลายในสังคมไทย ทั้งที่มีราคาแพง อุดมด้วยไขมัน น้ำตาล
สารสงเคราะห์ที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายชาวเมืองร้อน อย่างคนไทย
จนส่งผลให้เกิดโรคอันเนื่องมาจากการสะสมอาหารเหล่านี้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคความดันโลหิต
โรคเบาหวาน และโรคอ้วน เมื่อผนวกกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวการณ์กู้หนี้ยืมสิน
ตั้งแต่ประชาชนถึงประเทศชาติในทุกวันนี้ ทำให้คนไทยได้ทราบแล้วว่าเป็นผลของ “
การหลงทาง ” ไปกับวิถีชีวิตแบบชาวตะวันตก
จนละทิ้งชีวิตแบบไทยที่สั่งสมเป็นภูมิปัญญามานานนับร้อยนับพันปี
•
การพัฒนา ปรับปรุงพันธุ์พืชให้มีผลผลิตได้ตลอดปี
•
การศึกษา พัฒนาอาหารไทยให้มีคุณค่าทางอาหารปลอดสารพิษ
•
การพัฒนา ส่งเสริมอาหารไทยเข้าสู่ระบบอาหารจานด่วน ที่สะอาด
หาซื้อง่ายแต่คงความอร่อยและคุณค่าทางอาหาร
•
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงอาหารสำเร็จรูป
สำหรับคนไทยที่มีเวลาจำกัดในการปรุงอาหาร เป็นการลดความซับซ้อนในการปรุงอาหารไทย
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปสำหรับคนไทยที่ไม่มีเวลาปรุง
หรือสำหรับพกพาติดตัวในการเดินทาง การซื้อหาในต่างประเทศ
และยังเป็นสินค้าส่งออกขายในตลาดโลก สร้างรายได้เข้าประเทศ
ดั้งนั้น
ภูมิปัญญาวิถีการกินอาหารของคนไทยที่ถูกสุขลักษณะตามแบบวัฒนธรรมไทย
คือการสร้างค่านิยม อุปนิสัยการกิน ให้เลือกกินอาหารที่มีคุณภาพ
ไม่เน้นการหวังผลกำไรทางเศรษฐกิจจนไม่เห็นความสำคัญของผลิตภัณฑ์อาหาร
อีกทั้งการกินเป็นเวลา ไม่กินพร่ำเพรื่อ เพราะนิสัยช่างกินของคนไทยเสียเวลากับการกินมาก
บางคนจะต้องเข้าไปในสถานที่มีดนตรี มีคนป้อน มิฉะนั้นจะกินไม่ลง
การกินแบบตามสบายจึงใช้เวลามาก การงานจึงเสียไปด้วย เพราะวัฒนธรรมการกินเป็น ๑
ในปัจจัย ๔ ของมนุษย์ ภูมิปัญญาวิถีการกินของคนไทยเป็นแบบอย่างให้เยาวชนรุ่นต่อ ๆ
ไป สืบทอดวัฒนธรรมไทยที่ถูกต้องอีกสาขาหนึ่ง
ประวัติความเป็นมา
จุดเด่น
คนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยนิยมกัน 2 ชนิดคือ
ข้าวเหนียวและข้าวเจ้า คนไทยภาคอีสานและภาคเหนือนิยมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก
ส่วนคนไทยภาคกลางและภาคใต้นิยมกินข้าวเจ้าเป็นหลัก ประเทศไทยที่ผูกพันกับสายน้ำเป็นหลัก
ทำให้อาหารประจำครัวไทยประกอบด้วยปลาเป็นหลัก ทั้ง ปลาย่าง ปลาปิ้ง
จิ้มน้ำพกินกับผักสดที่หาได้ตามหนองน้ำ ชายป่า
หากกินปลาไม่หมดก็สามารถนำมาแปรรูปให้เก็บไว้ได้นาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแห้ง
ปลาเค็มปลาร้าปลาเจ่า
อาหารรสเผ็ดที่ได้จากพริกนั้น
ไทยได้รับนำมาเป็นเครื่องปรุงมาจากบาทหลวงชาวโปรตุเกสในสมัยพระนารายณ์
ส่วนอาหารประเภทผัดไฟแรง
ได้รับมาจากชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
จุดกำเนิด
อาหารไทยมีจุดกำเนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทย
และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาของ
อาจารย์กอบแก้ว นาจพินิจ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเรื่องความเป็นมาของอาหารไทยยุคต่างๆ สรุปได้ดังนี้
สมัยสุโขทัย
อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึกและวรรณคดีสำคัญคือ
ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไทที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก
โดยกินร่วมกับกับเนื้อสัตว์ ที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา มีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง
การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า “แกง” ใน ไตรภูมิพระร่วงที่เป็นที่มาของคำว่า
ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก คือ แฟงแตงและน้ำเต้าส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน
เช่น ข้าวตอกและน้ำผิ้ส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน
สมัยอยุธยา
สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไทย
ได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก
จากบันทึกเอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่าคนไทยกินอาหารแบบเรียบง่าย
ยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกง
และคาดว่ามีการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำมันจากมะพร้าวและกะทิมากกว่า
ไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มาอาหารอยุธยามีเช่น หนอนกะทิ วิธีทำคือ ตัดต้นมะพร้าว
แล้วเอาหนอนที่อยู่ในต้นนั้นมาให้กินกะทิแล้วก็นำมาทอดก็กลายเป็นอาหารชาว วังขึ้น
คนไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำไปตากแห้ง
หรือทำเป็นปลาเค็มมีอาหารประเภทเครื่องจิ้ม
เช่นน้ำพริกกะปินิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่
ไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้มีการกล่าวถึงแกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่องเทศ
เช่น แกงที่ใส่หัวหอมกระเทียมสมุนไพรหวาน และเครื่องเทศแรงๆ
ที่คาดว่านำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา
หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็นว่าอาหารของชาติต่าง ๆ
เริ่มเข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์เช่น ญี่ปุ่นโปรตุเกสเหล้าองุ่นจากสเปนเปอร์เซียและฝรั่งเศสสำหรับอิทธิพลของอาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่มมีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายที่
ไทยตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยอยุธยา
ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีทั้งทางการทูตและทางการค้ากับประเทศต่างๆ
และจากหลักฐานที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่าอาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลาย
อยู่ในราชสำนัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชน และกลมกลืนกลายเป็นอาหารไทยไป ในที่สุด
สมัยธนบุรี
จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ซึ่งเป็นตำราการทำกับข้าวเล่มที่
2 ของไทย ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน
ภาสกรวงษ์พบความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอยุธยา
และสมัยกรุงธนบุรี
และยังเชื่อว่าเส้นทางอาหารไทยคงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไปยังสมัยรัตน โกสินทร์
โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคมเครือญาติ
และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา
แต่ที่พิเศษเพิ่มเติมคือมีอาหารประจำชาติจีน
สมัยรัตนโกสินทร์
การศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้
คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1จนถึงรัชกาลที่ 3และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
ดังนี้
พ.ศ. 2325–2394
อาหารไทยในยุคนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรี
แต่มีอาหารไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท คือ
นอกจากมีอาหารคาวอาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่างเพิ่มขึ้น
ในช่วงนี้อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารของประเทศจีนมากขึ้น
และมีการปรับเปลี่ยนเป็นอาหารไทย ในที่สุด
จากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีที่กล่าวถึงเครื่องตั้งสำรับคาวหวานของพระสงฆ์
ในงานสมโภชน์ พระพุทธมณีรัตนมหาปฏิมากร (พระแก้วมรกต)
ได้แสดงให้เห็นว่ารายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำพริก
ปลาแห้งหน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบอิสลาม
และมีอาหารจีนโดยสังเกตจากการใช้หมูเป็นส่วนประกอบ
เนื่องจากหมูเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยม แต่คนจีนนิยม
บทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้
ทรงกล่าวถึงอาหารคาวและอาหารหวานหลายชนิด
ซึ่งได้สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสำนักที่ชัดเจนที่สุด
ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะของอาหารไทยในราชสำนักที่มีการปรุงกลิ่น และรสอย่างประณีต
และให้ความสำคัญของรสชาติอาหารมากเป็นพิเศษ
และถือว่าเป็นยุคสมัยที่มีศิลปะการประกอบอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งรส
กลิ่น สี และการตกแต่งให้สวยงามรวมทั้งมีการพัฒนาอาหารนานาชาติให้เป็นอาหารไทย
จากบทพระราชนิพนธ์ทำให้ได้รายละเอียดที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาหาร
คาวหรือกับข้าวและอาหารว่าง ส่วนทีเป็นอาหารคาวได้แก่ แกงชนิดต่างๆ เครื่องจิ้ม
ยำต่างๆ สำหรับอาหารว่างส่วนใหญ่เป็นอาหารว่างคาว ได้แก่
หมูแนมล่าเตียงหรุ่มรังนกส่วนอาหารหวานส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ทำด้วยแป้งและไข่เป็นส่วนใหญ่
มีขนมที่มีลักษณะอบกรอบ เช่น ขนมผิงขนมลำเจียกและมีขนมที่มีน้ำหวานและกะทิเจืออยู่ด้วย
ได้แก่ ซ่าหริ่มบัวลอยเป็นต้น
นอกจากนี้ วรรณคดีไทย
เรื่องขุนช้างขุนแผนซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นอย่างมากรวมทั้งเรื่องอาหารการกินของชาวบ้าน
พบว่ามีความนิยมขนมจีนน้ำยาและมีการกินข้าวเป็นอาหารหลัก ร่วมกับกับข้าวประเภทต่างๆ
ได้แก่ แกง ต้ม ยำ และคั่ว อาหารมี ความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดของอาหารคาว
และอาหารหวาน
พ.ศ. 2394–ปัจจุบัน
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก
และมีการตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น
ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้านจดหมายเหตุ
เสด็จประพาสต้น เป็นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ
และบันทึกที่เป็นทางการอื่น ๆ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็น
กับข้าวอาหารจานเดียวอาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ
ทั้งที่เป็นวิธีปรุงของราชสำนัก และวิธีปรุงแบบชาวบ้านที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาหารไทยบางชนิดในปัจจุบันได้มีวิธีการปรุงหรือส่วน
ประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้รสชาติของอาหารไม่ใช่ตำรับดั้งเดิม
และขาดความประณีตที่น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของอาหาร ไทย
อาหารไทยภาคต่าง ๆ
อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ
ภาคเหนือรวม 17 จังหวัดประกอบด้วยภูมินิเวศน์ที่หลากหลายพร้อมด้วยชาติพันธุ์ต่าง
ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ดอน และที่ภูเขาสูงในการดำรงชีพ
การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยพื้นราบซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่
ที่พื้นที่ลุ่มบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ปิง วัง ยม น่าน ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน
และ อิง ลาว ของลุ่มน้ำโขง
มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกข้าวโดยชาวไทยพื้นราบภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด
(เชียงใหม่เชียงรายลำปางลำพูนแม่ฮ่องสอนพะเยาอุตรดิตถ์แพร่น่าน)
มีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก
อาหารของคนเหนือจะมีความงดงาม
เพราะด้วยนิสัยคนเหนือจะมีกริยาที่แช่มช้อย จึงส่งผลต่ออาหาร โดยมากมักจะเป็นผัก
อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลาย
ทั้งในเขตที่ราบ ในแอ่งโคราชและแอ่งสกลนครอาศัยลำน้ำสำคัญ เช่น ชี มูล สงคราม โขง
เป็นต้น และชุมชนที่อาศัยในเขตภูเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาภพานและเทือกเขาเพชรบูรณ์ซึ่งความแตกต่างของทรัพยากรธรรมชาติ
ทำให้ระบบอาหารและรูปแบบการจัดการอาหารของชุมชนแตกต่างกันไปด้วย
แต่เดิมในช่วงที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์
อาหารจากธรรมชาติมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์มาก
ชาวบ้านจะหาอาหารจากแหล่งอาหารธรรมชาติเท่าที่จำเป็นที่จะบริโภคในแต่ละวัน
เท่านั้น เช่น การหาปลาจากแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องจับปลามาขังทรมานไว้
และหากวันใดจับปลาได้มากก็แปรรูปเป็นปลาร้าหรือ ปลาแห้งไว้บริโภคได้นาน ส่งผลให้ชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากตลาดน้อยมาก
ชาวบ้านจะ “ปลูกทุกอย่างที่กิน
กินทุกอย่างที่ปลูก” สวนหลังบ้านมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งอาหารประจำครัวเรือน
ชาวบ้านมีฐานคิดสำคัญเกี่ยวกับการผลิตอาหาร คือ ผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค
มีเหลือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและทำบุญ
อาหารอีสานจะเน้นไปทางรสชาติที่อ่อนหวาน
เช่น ผัดหมี่โคราช ส้มตำ
อาหารภาคกลาง
ลักษณะอาหารพื้นบ้านภาคกลางมีที่มาต่างกันดังนี้
- ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ
เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จะมาจากชาวฮินดู
การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันมาจากประเทศจีนหรือขนมเบื้องไทยดัดแปลงมาจาก
ขนมเบื้องญวนขนมหวานประเภททองหยิบทองหยอดรับอิทธิพลจากประเทศทางตะวันตก
เป็นต้น
- เป็นอาหารที่มักมีการประดิษฐ์
โดยเฉพาะอาหารจากในวังที่มีการคิดสร้างสรรค์อาหารให้เลิศรส วิจิตรบรรจง เช่น
ขนมช่อม่วงจ่ามงกุฎหรุ่ม ลูกชุบกระเช้าสีดา ทองหยิบ หรืออาหารประเภทข้าวแช่ผัก
ผลไม้แกะสลัก
- เป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียง
ของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือต้องแนมด้วยหมูหวานแกงกะทิ แนมด้วยปลาเค็ม
สะเดาน้ำปลาหวานก็ต้องคู่ กับกุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง ปลาสลิดทอดรับประทานกับน้ำพริกมะม่วงหรือไข่เค็มที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกลงเรือ
น้ำพริกมะขามสดหรือน้ำพริกมะม่วง นอกจากนี้ยังมีของแหนมอีกหลายชนิด เช่น
ผักดอง ขิงดอง หอมแดงดอง เป็นต้น
- เป็นภาคที่มีอาหารว่าง
และขนมหวานมากมาย เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อกระทงทองค้างคาวเผือกปั้นขลิบนึ่งไส้กรอกปลาแนมข้าวตังหน้าตั้ง
อาหารภาคใต้
ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นทะเล
ชาวใต้นิยมใช้กะปิในการประกอบอาหาร
อาหารที่ปรุงในครัวเรือนก็เหมือนๆกับอาหารไทยทั่วไป แต่รสชาติจะจัดจ้านกว่า
อาหารใต้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเผ็ดจากพริกแต่ยังใช้พริกไทยเพิ่มความเผ็ดร้อน
อีกด้วย และเนื่องจากภาคใต้มีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก
ตามจังหวัดชายแดนใต้ก็ได้มีอาหารที่แตกต่างกันไป
ตัวอย่างอาหารใต้ที่ขึ้นชื่อได้แก่
- แกงไตปลา (ไตปลา
ทำจากเครื่องในปลาผ่านกรมวิธีการหมักดอง)
การทำแกงไตปลานั้นจะใส่ไตปลาและเครื่องแกงพริก ใส่สมุนไพรลงไป เนื้อปลาแห้ง
หน่อไม้สด บางสูตรใส่ ฟักทอง ถั่วพลู หัวมัน ฯลฯ
- คั่วกลิ้ง
เป็นผัดเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกและสมุนไพรปรุง รสชาติเผ็ดร้อน
มักจะใส่เนื้อหมูสับ หรือ ไก่สับ
- แกงพริก
แกงเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกเป็นส่วนผสม เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อหมู
กระดูกหมู หรือไก่
- แกงป่า
แกงเผ็ดที่มีลักษณะที่คล้ายแกงพริกแต่น้ำจะใสกว่า เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ
เนื้อปลา หรือ เนื้อไก่
- แกงส้ม
หรือแกงเหลืองในภาษากลาง แกงส้มของภาคใต้จะไม่ใส่หัวกระชาย
รสชาติจะจัดจ้านกว่าแกงส้มของภาคกลาง และที่สำคัญจะต้องใส่กะปิด้วย
- หมูผัดเคยเค็มสะตอ เคยเค็มคือการเอากุ้งเคยมาหมัก
ไม่ใช่กะปิ
- ปลาต้มส้ม
ไม่ใช่แกงเผ็ดแต่เป็นแกงสีเหลืองจากขมิ้น
น้ำแกงมีรสชาติเปรี้ยวจากส้มควายและมะขามเปียก
อาหารขึ้นชื่อของชาวมุสลิม
- ข้าวยำน้ำบูดู
เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวมุสลิม ประกอบด้วยข้าวสวยใส่ผักนานาชนิดอย่างเช่น
ถั่วฝักยาวซอย ดอกดาหลาซอย ถั่วงอก แตงกวาซอย ใบพลูซอย ใบมะกรูดอ่อนซอย
กุ้งแห้งป่น ราดด้วยน้ำบูดู อาจจะโรยพริกป่นตามความต้องการ
- กือโป๊ะ
เป็นข้าวเกรียบปลาที่มีถิ่นกำเนิดมาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้
(ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซีย) มีแบบกรอบซึ่งจะหั่นเป็นแผ่นบางๆแบบข้าวเกรียบทั่วไป
แบบนิ่มจะมีลักษณะเป็นแท่ง เวลารับประทานจะเหนียวๆ รับประทานกับน้ำจิ้ม
- ไก่ย่าง
ไก่ย่างของชาวมุสลิมในภาคใต้นั้น จะมีลักษณะพิเศษคือราดน้ำสีแดงลงไป
น้ำสีแดงจะมีรสชาติเผ็ดนิดๆ หวาน เค็ม และกลมกล่อม
สามารถหาได้ตามแผงอาหารทั่วไป ตามตลาดนัด หรือตลาดเปิดท้ายทั่วไป
- ไก่ทอดหาดใหญ่
จริงๆแล้วไก่ทอดหาดใหญ่เป็นไก่ทอดทั่วไป
แต่ไก่ทอดหาดใหญ่เป็นไก่ทอดที่ขึ้นชื่อในภาคใต้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น